ผู้เขียน https://www.longzanam.com
ศึกฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรป หรือในชื่อเดิมว่า ยูโรเปี้ยนส์คัพ ถูกริเริ่มให้มีการแข่งขันขึ้นตั้งแต่ปี 1956 ซึ่งในสมัยนั้นการแข่งขันจะนำ แชมป์ลีกของแต่ละชาติมาแข่งขันกันแบบมินิทัวร์นาเมนต์ อีกทั้งรูปแบบ การเล่นและแท็กติก ก็ไม่มีความซับซ้อนไม่มีระบบที่แน่นอน เพียงแต่ใช้ วิธีการยืนคุมโซน ซึ่งตัวอย่างจากฟุตบอลอังกฤษ ก็ใช้วิธีห้อยหลัง 2 ตัว แดนกลาง 8 ตัว หน้าเป้า 2 ตัว ส่วนแท็กติกก็ไม่ซับซ้อน เมื่อได้บอลก็ โยนให้กองหน้าตัวเป้าเป็นพอ จนอาจกล่าวได้ว่าฟุตบอลในอดีตจะเน้น ทักษะความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นเป็นสำคัญ นั่นจึงทำให้เมื่อใดที่ แชมป์ยูโรเปี้ยนส์คัพต้องไปชิงแชมป์สโมสรโลก มักจะแพ้ยอดทีมจาก บราซิลเพราะในสมัยก่อนยังไม่มีโควต้านอกยุโรปเหมือนสมัยนี้ ทำให้ ยอดนักเตะระดับพระกาฬของบราซิลต้องสังกัดกับสโมสรในประเทศ ของตน
จวบจนเวลาผ่านไป โลกมีวิวัฒนาการขึ้นทุกด้าน วงการฟุตบอลก็ เป็นหนึ่งในนั้น ที่เริ่มมีการสร้างหลักสูตรอบรมวิชาชีพโค้ช เพื่อเน้นย้ำ กับระบบการเล่นและแท็กติกมาขึ้น เป็นการยกระดับมาตรฐานการ แข่งขันให้มากยิ่งขึ้น และในขณะเดียวกันก็มีการเปิดโควต้านักเตะนอก ยุโรป ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ดาวดังจากทวีปอื่น ๆ จึงหลั่งไหล เข้ามาค้าแข้งกับยอดทีมในยุโรปและนั่นจึงทำให้การแข่งขันฟุตบอลชิง แชมป์สโมสรยุโรป หรือในชื่อใหม่ว่า ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีก กลายเป็น ทัวร์นาเมนต์ที่รวบรวมยอดทีมและดาวเตะระดับพระกาฬของโลก ภาย ใต้การควบคุมของผู้จัดการทีมที่นำเทคนิคใหม่ๆเข้ามาใช้ในเกมการ แข่งขัน
อยากจะเป็นยอดทีมในช่วงยุคคาบเกี่ยวปี 2000 ต้องเล่นด้วยความ รัดกุมและเขี้ยวรากดิน
ในยุคคาบเกี่ยวระหว่างปี 2000 ฟุตบอลที่เน้นทักษะมาตลอด เริ่ม ถูกผสมด้วยแท็กติกที่เน้นการเล่นรัดกุมด้วยวางแนวรับให้มาก แบบไม่ อนุญาตให้แนวรุกฝ่ายตรงข้ามผ่านไปได้ ครองบอลเหนียวแน่นแล้วหา จังหวะโจมตีด้วยแนวรุกเพียง 3-4 คน เมื่อขึ้นนำจะแพ็กเกมรับให้แน่น ที่สุดเพื่อรอโต้กลับหรือปิดเกมเพื่อเน้นผลการแข่งขัน โดยจะมีลักษณะ ผังการเล่นคือ กองหลังสี่ตัว มีกองกลางตัวรับยืนหน้ากองหลัง มีหน้าต่ำ ที่คอยสวิตช์บอลจากซ้ายไปขวา จากหลังมาหน้า พร้อมทั้งต้องมีจุดเด่น ในการยิงไกลและการจ่ายบอลให้กองหน้าทำประตู
ซึ่งในยุคนั้นยอดทีมอย่างเรอัล มาดริด ได้ทุ่มเงินคว้าสตาร์จากทั่ว ทุกมุมโลกมากองรวมกันที่เบอร์นาบิว เสมือนทีมแห่งสหประชาชาติ พร้อมทั้งนำระบบฟุตบอลใหม่ ในผัง 4-1-3-2, 4-2-3-1 มาริเริ่มใช้แทน ระบบ 4-4-2 ซึ่งระบบวิธีการเล่นเช่นนี้เองทำให้ยอดทีมจากเมืองหลวง ของสเปนทะลุไปถึงการเป็นแชมป์เจ้ายุโรปถึง 3 สมัย ในช่วง 5 ปี ได้แก่ 1998 2000 และ 2002 แต่ในขณะเดียวยอดทีมร่วมยุคอย่าง ยูเวนตุส เอซีมิลาน อินเตอร์มิลาน ก็มีสไตล์การเล่นที่คล้ายกัน ทำให้ยอดทีมจาก ลีกอิตาลีสามารถเข้ารอบลึกๆ ในการแข่งขัน UCL ทุกแรมปี หรือที่ตกตะลึงมากที่สุดในโลกมนุษย์ คือทีมนอกสายตาอย่าง ปอร์โต้ ที่ห่างหาย จากแชมป์รายการนี้มานานถึงสองทศวรรษครึ่ง ก็สามารถคว้าแชมป์ UCL ได้ ด้วยการเล่นระบบ 4-3-1-2 ในแบบที่ว่าแนวรับต้องเขี้ยว รากดินด้วยการไม่อนุญาตให้แนวรุกฝ่ายตรงข้ามพาบอลเข้ามาในเขต โทษ ส่วนเกมรุกมีตัวบุก 3 ตัว ที่ต้องเร็วและจบสกอร์เฉียบคม ซึ่งการ คว้าแชมป์ UCL แบบตกตะลึงของปอร์โต้ ได้สร้างชื่อเสียงให้กุนซือ หนุ่มอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ ดังกระฉ่อนไปทั่วโลกลูกหนังในเวลาต่อมา
ฟุตบอลตีกี้ ตาก้า นิวเคลียร์แห่งโลกลูกหนัง
ภายหลังจากที่บาร์เซโลน่าแต่งตั้งเป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาคุมทีม ในปี 2007 กุนซือวัยหนุ่มผู้นี้ได้ทำการรังสรรค์รูปแบบเล่นขึ้นมาที่มีชื่อ ว่า ตีกี้ ตาก้า ภายใต้ระบบผัง 4-3-3 ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น คือ การดัน ผู้เล่นทุกคนเข้าไปอยู่ในแดนคู่แข่ง พร้อมการครองบอลเหนียวแน่น ถ่ายบอลไปมาอย่างรวดเร็ว ใช้ทักษะของผู้เล่นในแนวรุกเพื่อดึงตัว ประกบและจ่ายไปยังที่ว่างเพื่อทำประตู มีการสลับตำแหน่งไปมา ไม่มี การยืนตำแหน่งตายตัว ซึ่งการเล่นเช่นนี้ทำให้บาร์เซโลน่าถูกขนานนาม ว่า “ทีมมนุษย์ต่างดาว” เพราะไม่ว่าจะเจอทีมเล็กหรือใหญ่ ในฟุตบอล ลีกหรือฟุตบอลถ้วยสโมสรยุโรป พวกเขาก็ไล่ถล่มคู่แข่งอยู่เสมอ ทีม อย่างเรอัล มาดริด, บาเยิน มิวนิค ที่เป็นทีมยักษ์ใหญ่แห่งถ้วยยุโป ต่าง โดนบาร์ซ่าถลุงยับกระทั่งเป็นเรื่องปกติในเวลานั้น จนสามารถกล่าวได้ ว่าชื่อเสียงแห่งความโหดเหี้ยมของบาร์ซ่าทำให้ไม่มีใครอยากพบกับ พวกเขา หากจับสลากพบกับ “ทีมมนุษย์ต่างดาว” เมื่อใด คู่แข่งย่อม ต้องทำใจล่วงหน้าไว้ก่อน ว่าโอกาสจะผ่านบาร์ซ่าไปได้ค่อนข้างเลือน ลาง โดยการคุมทีมของเป๊ปกับบาร์ซ่า 5 ปี ฟาดแชมป์ UCL ไป 2 สมัย ซึ่ง 2 ครั้งที่ได้แชมป์นั้น รอบชิงได้วนมาพบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมที่ได้ชื่อว่ามีผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่งอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คุมทีมอยู่ แต่ก็ไม่อาจต้านทานได้แม้จะปรับระบบให้รัดกุมแค่ ไหนก็ตาม
ฟุตบอลสไตล์ตีกี้ ตาก้า จึงกลายเป็นความอันตรายของคู่แข่งใน โลกของฟุตบอลเมื่อราว 10 ปีก่อน ซึ่งบาร์ซ่าเป็นทีมเดียวที่มีการเล่น ชัดเจนที่สุด แม้หลายทีมจะพยายามนำไปหลอกเลียนแบบแต่ก็ไม่เนียน ตาเท่าต้นตำหรับ ถึงอย่างไรก็ตาม ฟุตบอลตีกี้ ตาก้า ก็ถูกทำลายลง ด้วยน้ำมือของเชลซี ใน UCL ปี 2012 โดยที่บาร์ซ่าเล่นตามสไตล์ของ ตนเอง ขณะที่เชลซีใช้ผู้เล่นทั้งทีมยืนอัดในกรอบเขตโทษ ทำให้ทีม มนุษย์ต่างดาว ได้แต่ถ่ายบอลขวางสนาม ไม่สามารถต่อบอลเข้าไปใน แดนสุดท้ายได้เลย จากนั้นเมื่อบาร์ซ่าเสียบอล เชลซีก็ใช้วิธีการ โยนยาวที่แม่นยำไปยังบริเวณที่แนวรับบาร์ซ่าเติมขึ้นมา แล้วใช้ ความเร็ววิ่งฉีกหนีกองหลังบาร์ซ่า ทำให้กลายเป็นเกมที่พลิกล็อคมาก ที่สุดคู่หนึ่งและส่งให้เชลซีคว้าแชมป์ จนทำให้กล่าวขานได้ว่าฟุตบอลตี กี้ ตาก้า ได้สร้างปรากฎการณ์ให้กับโลกลูกหนังเสมือนนิวเคลียร์ที่ใคร ได้โดนก็ต่างต้องศิโรราบ ก่อนจะถูกตีตกไปด้วยแท็กติกการเล่นเกมรับ ด้วยกองหลังซ้อนสองชั้นในเวลาอันรวดเร็ว
ฟุตบอล เฮฟวี่ เมทัล ภายใต้อิทธิพลระบบฟุตบอลเยอรมันสมัยใหม่ คือ ปรากฎการณ์ในโลกลูกหนังยุคปัจจุบัน
สไตล์ฟุตบอลของเยอรมัน ถูกเซตระบบขึ้นมาใหม่ แทนที่ระบบ ฟุตบอลแบบเดิม ๆ ที่ไม่สามารถสร้างความเสร็จให้แก่วงการฟุตบอล เยอรมัน ทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ อีกทั้งยังสร้างความเบื่อหน่าย แก่สายตาผู้ชม ซึ่งระบบที่โค้ชชาวเยอรมันสมัยใหม่นิยม คือ ให้ผู้เล่น ทั้ง 11 คน มีส่วนร่วมกับเกม ไม่ว่าจะเกมรับ เกมรุกหรือการขึ้นเกม จน เยอร์เก้น คล็อปป์ กลายเป็นกุนซือที่โดดเด่นขึ้นมาจากการพา ไมซ์ 05 ให้อยู่รอดปลอดภัยในลีกสูงสุดด้วยตัวผู้เล่นโนเนม จากนั้นได้โยกไปคุ มดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์ลีก 2 สมัย หลังจากนั้นเจ้าตัวได้มาข้ามประเทศ มารับงานที่ลิเวอร์พูล พร้อมทั้งนำระบบฟุตบอลที่คล็อปปป์เรียกมันว่า “เฮฟวี่ เมทัล ฟุตบอล”ติดมาด้วย ซึ่งสื่อถึงความดุดัน เกรี้ยวกราด เหมือนเพลงเฮฟวี่ ที่เมื่อแปลเป็นภาษาฟุตบอลก็จะตีความหมายได้ว่า เน้นการเพรสซิ่งใส่คู่แข่งเพื่อบีบให้คู่แข่งเสียบอล เล่นเกมเร็ว บุกอย่าง รวดเร็ว
ระบบฟุตบอลเฮฟวี่ เมทัล หากเจาะลึกลงไปในราละเอียด จะเล่น กันในระบบ 4-3-3 กับ 4-2-3-1 มีลักษณะทั่วไปคือ ไม่มีกองหน้าเป้าที่ รอถล่มประตูในเขตโทษ กองหน้าซ้ายขวามีบทบาทลักษณะกึ่งปีก มีจุด เด่นที่ความเร็วในการพาบอลไปข้างหน้า แบ็คซ้ายและขวามีรูปแบบ การเล่นคล้ายปีกที่ต้องสนับสนุนเกมรุก ผู้รักษาประตูต้องเล่นบอลด้วย เท้าได้ดีเสมือนกกองหลังอีกคน ขณะที่ในด้านทักษะไม่จำเป็นต้องโดด เด่น ขอเพียงมีทักษะการรับส่งบอลที่แม่นยำและรวดเร็ว ในแง่แท็กติกผู้ เล่นแต่ละคนต้องมีความเข้าใจระบบและรูปแบบการเล่นสูงมาก ทำให้ผู้ เล่นใหม่ที่ลิเวอร์พูลซื้อเข้ามาหลายคนต้องใช้เวลาปรับตัวนาน เริ่ม ตั้งแต่การไล่เพรสซิ่งของแดนหน้ากับแดนกลางที่ต้องวิ่งทุกคน หากวิ่ง ผิดช่องแม้แต่คนเดียว แผนการกดดันคู่แข่งเสียทันที การขึ้นเกมบุกต้อง ใช้ความรวดเร็วเพื่อพาบอลไปข้างหน้า ไม่มีการจ่ายคืนหลังในจังหวะ เข้าทำเหมือนระบบฟุตบอลที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ ทั้งหมดนี้จึงเป็นปัจจัย ที่ทำให้ลิเวอร์พูลยามเจอคู่แข่งในเวที UCL ไม่ว่าจะทีมเล็กหรือใหญ่ ก็ สามารถต่อกรได้อย่างไม่เป็นรอง จนสามารถฟันฝ่าไปถึงรอบชิงชนะ 2 ปีซ้อน ก่อนจะคว้าแชมป์มาได้ในปี 2019
ขณะที่อีกหนึ่งเครื่องยืนยันได้ถึงความทรงประสิทธิภาพของทรง ฟุตบอลเยอรมันสมัยใหม่ นั่นคือ ฮันซี ฟลิก ผู้ซึ่งอยู่เบื้องการคุมทัพทีม ชาติเยอรมันและสโมสรบาเยิน มิวนิค ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นบุคคล สำคัญที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในเกมฟุตบอล แม้จะไม่เคยคุมทีม ใหญ่ โดยการคุมทีมแบบขัดตาทัพของ ฮันซี ฟลิก ได้พลิกให้บาเยินกล ลับมาเป็นเสือผู้หิวกระหายอีกครั้ง จนถึงเกมที่สร้างชื่อแก่เจ้าตัวมาก ที่สุด คือ เกม UCL รอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่ถล่ม บาร์เซโลน่า 8-2 ซึ่งแท็ก ติกที่ฟลิกใช้ คือการเพรสซิ่ง บีบกดดันคู่แข่งจนเสียบอลหน้าเขตโทษ และเข้าทำเร็ว จนได้ประตูมาตุนถึง 8 ลูก ก่อนจะเข้าไปชิงชนะเลิศกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แล้วจบลงด้วยชัยชนะเหนือยอดทีมจากฝรั่งเศส 1-0 คว้าแชมป์เจ้ายุโรปสมัยที่ 6 ทำให้เห็นได้ว่าแท็กติกของ ฟลิก กับ คล็อปป์ มีความคล้ายคลึงกันในแง่วิธีการ จนพาทีมประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีกได้ในบั้นปลาย
จากที่ได้หยิบยกเทรนฟุตบอลที่ถูกเหล่ากุนซือนำมาใช้ เพื่อให้ทีม แข็แกร่งในการก้าวไปสู่แชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีก ซึ่งจะเห็นได้แล้วว่า เทรนฟุตบอลใน 3 ช่วงเวลา มีความแตกต่างกันออกไป ไม่มีถูกไม่มีผิด ทุกสิ่งวัดกันด้วยผลงาน ทำให้กล่าวได้ว่าเทรนของโลกฟุตบอลคือการ เดินไปข้างหน้า วันนี้ทีมหนึ่งสร้างเทรนขึ้นมาเพื่อโจมตีคู่แข่งจนคว้า แชมป์ วันหน้าก็อาจมีทีมคู่แข่งสร้างวิธีการเล่นขึ้นมารับมือ เพื่อหักล้าง วิธีการเดิม ๆ ฉะนั้นทุกคนที่อยู่ในแวดวงฟุตบอลต้องหมั่นพัฒนาตัวเอง ตลอดเวลา เพราะหากยังคงยึดในแนวทางเดิม ๆ โลกของฟุตบอลก็จะ ค่อยๆขจัดบุคลากรที่แนวคิดล้าหลังในพ้นทางไปเอง