กำแพงสูงตระหง่านและรั้วลวดหนามกั้นโดยรอบ เป็นภาพปรากฎของ “คุก” ในสายตาของคนในสังคม ที่แบ่งแยกระยะห่างที่ชัดเจนระหว่างผู้คนในเรือนจำกับสังคมภายนอก จนทำให้ผู้ใช้ชีวิตหลังกำแพงลืมไปเลยว่าสังคมที่แท้จริงเป็นอย่างไร และเมื่อกลับออกมาอีกครั้งก็ต้องเผชิญกับนานาทัศนะ ที่มองคนหลังกำแพงในด้านติดลบ
• • • กลับสู่หน้าหลัก • • •

เรื่องเล่าจากคุณหมอที่เคยอยู่ในคุก
“…หลายคนมองว่าผู้ที่อยู่ในเรือนจำเป็นคนน่ากลัว มีปัญหา ไม่ควรได้รับโอกาส เห็นได้ชัดจากการประกาศอภัยโทษทำให้สังคมเกิดการแตกตื่น ซึ่งปัญหาไม่ได้อยู่ที่การปล่อยตัว แต่อยู่ที่ทัศนคติของคน…”
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ในฐานะของหมอที่เคยอยู่ในเรือนจำ เล่าว่า ผู้ที่อยู่ในเรือนจำไม่ต่ำกว่า 80% ไม่สมควรอยู่ในนั้น เป็นผู้ที่ไม่ได้กระทำความผิด แต่ด้วยข้อบังคับของกฎหมายที่ทำให้ไม่มีทางเลือก หรือการตัดสินของศาลซึ่งสามารถตัดสินแบบอื่น เช่น แพทย์บางคนถูกส่งเข้าเรือนจำกว่าครึ่งปีเพียงเพราะจ่ายเช็คเด้ง

ในความเป็นจริงหากวิเคราะห์ถึงความเหมาะสมก็ควรจะปรับวิธีการลงโทษ อาจใช้การปรับเป็นจำนวนเงินหรือใช้เทคโนโลยีกำไลอิเลกทรอนิกส์ และเลือกส่งคนเข้าเรือนจำเฉพาะกรณีที่จำเป็น หรือเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับคนในสังคม
นพ.สุรพงษ์ เล่าต่อว่า ในขณะที่ปัญหาในเรื่องของการใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพที่ติดอยู่กับโรงพยาบาลไม่ได้ถูกนำมาใช้ที่นี่ เพราะขาดกระบวนการเชื่อมโยงข้อมูล รวมถึงแพทย์ที่เข้ามาทำหน้าที่ตรวจรักษาผู้ที่อยู่ในเรือนจำกลับมีทัศนคติที่ขาดความเมตตาเอื้ออาทร ตรวจแบบห่าง ๆ เช่น การส่องไฟฉายไปยังปากของคนไข้อย่างห่าง ๆ เป็นต้น
เรื่องเล่าจากการเข้าไปเยือน
“…การที่มีคนเข้าเรือนจำเป็นจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงปัญหา โครงสร้าง และความเหลื่อมล้ำของสังคมที่ไม่เอื้อต่อการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย สามารถลืมตาอ้าปากได้อย่างมีศักดิ์ศรี หลายคนถูกสังคมบีบให้กระทำความผิดจนต้องเข้ามาสู่เรือนจำ…”

คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ในฐานะของคนทำงานสื่อที่ไปเยี่ยมเพื่อนเรือนจำ อธิบายว่า ผู้ที่ทำความผิดเพียงเล็กน้อยไม่สมควรต้องเข้ามาอยู่ในเรือนจำ เพราะมันส่งผลกระทบเป็นหวงโซ่ของสังคม เช่น กรณีที่ผู้ที่เข้าไปเป็นพ่อ ส่งผลให้ขาดหัวหน้าครอบครัว หรือผู้ที่เข้าไปเป็นแม่ จะทำให้ขาดคนเลี้ยงดูลูก แม้สามีที่กระทำความผิดจริงแต่ภรรยาที่อยู่ด้วยขณะเกิดเหตุถูกตัดสินว่าผิดด้วยกัน ส่งผลให้ลูกขาดคนดูแลอบรมสั่งสอน เด็กจะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ กระทบกันเป็นวงจรและอาจเข้าสู่หวงโซ่ที่อาจกระทำความผิดตามรอยผู้ปกครอง
“…ไม่ได้หมายความว่าควรปล่อยหรือละเลยผู้กระทำความผิด แต่ในหลายกรณีไม่ควรถูกลงโทษด้วยการจองจำ…”
เรื่องเล่าของผู้หญิงจากเรือนจำ
“…คืนคนดีสู่สังคม แต่การปฏิบัติในเรือนจำมันไม่ใช่ ผู้คุมกดขี่ให้ผู้ต้องขังถูกประณาม ไม่ควรออกมาสู่สังคม และถูกตีตราว่าเป็นนักโทษ…”

คุณจินตนา แก้วข้าว นักสิทธิมนุษยชน ชาวบ้านที่เคยอยู่ในเรือนจำ เล่าประสบการณ์ว่า สิ่งที่เห็นหลายอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะพฤติกรรมที่ผู้คุมสั่งให้นักโทษนั่งคุกเข่า หรือการลงโทษด้วยการสก๊อตจั๊มพ์แบบเหมารวม การส่งตัวคนออกไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในชุดนักโทษ หรือสภาพของห้องน้ำที่มีเพียงฉากกั้นแค่หน้าอกเมื่อนั่งยอง
“…อย่ามองว่าคุกเป็นสถานที่ที่คนต้องถูกประจาน หลายคนไม่ทำผิดแต่ถูกประจาน ประณาม และไม่สามารถกลับมาเป็นคนดีในสังคมได้อีก…”

ปัญหาของชีวิตหลังกำแพงพูดเท่าไหร่ก็ไม่จบ แต่หากยึดหลักการหรือวิธีคิดของการทำให้ชีวิตคนในเรือนจำไม่ต่างจากชีวิตที่มีความปกติเหมือนข้างนอก ให้บริการตามสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับ เพราะการใช้ชีวิตอยู่รวมกันอย่างแออัดและสภาพแวดล้อมภายใต้การควบคุมอย่างเคร่งขัดในเรือนจำก็ถือเป็นการลงโทษที่มากพอ
ไม่ว่าจะมีสถานะทางกฎหมายและทางสังคมอย่างไร แต่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และเป็นส่วนหนึ่งของประชากรไทย ก็สมควรได้รับความเป็นธรรมทางสุขภาพตามสิทธิหลักประกันสุขภาพขั้นพื้นฐานเช่นเดียวกันทุกคน
สรุป
การใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำโดยถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ขาดการเชื่อมต่อหรือบูรณาการ ส่งผลให้เมื่อออกมาสู่โลกกว้างแล้วอาจปรับตัวไม่ได้ รู้สึกเคว้งคว้าง ไม่มีที่ไป ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ไร้ญาติขาดมิตร สังคมไม่ยอมรับ นับเป็นสิ่งที่โหดร้ายและเรียกได้ว่าเป็นกระบวนการคืนคนดีสู่สังคมที่ล้มเหลว ทำให้พวกเขากลับไปกระทำความผิดซ้ำอีกครั้ง
• • • กลับสู่หน้าหลัก • • •
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
ข้อมูลบางส่วนจากงานเสวนา “นานาทัศนะต่อคุกไทย: สิ่งที่เห็น กับสิ่งที่ควรจะเป็น” โดย
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ในฐานะของหมอที่เคยอยู่ในเรือนจำ
จินตนา แก้วข้าว นักสิทธิมนุษยชนชาวบ้าน ที่เคยอยู่ในเรือนจำ
สุภิญญา กลางณรงค์ ในฐานะของคนทำงานสื่อที่ไปเยี่ยมเพื่อนเรือนจำ
บทความน่าอ่านต่อ
บทความล่าสุดในหมวด Lifestyle
• • •
• • •
[…] หลายความคิด ชีวิตในเรือนจำ […]